
กระชายดำ

สมุนไพรมากคุณค่าตามตำรายาแผนโบราณ กระชายดำจัดว่าเป็นสมุนไพร และเป็นยาอายุวัฒนะที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
บำรุงกำลัง, บำรุงหัวใจ, ขยายหลอดเลือดหัวใจ, ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น, ผิวพรรณผุดผ่องสดใส และเพิ่มฮอร์โมนบำรุงกำลังทางเพศ, ลดอาการปวดเมื่อย, เนื่องจากการทำงานหนักเป็นเวลานาน เหง้า ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย โดยมี borneol เป็นองค์ประกอบหลัก และยังพบสารกลุ่ม flavonoid, chalcone, anthocyanin เป็นต้น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สามารถต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ดีกว่าแบบเรื้อรัง มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสาร prostaglandin G
จากงานวิจัยพบว่าสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศได้ นอกจากนี้การป้อนสารสกัดกระชายดำ ยังมีผลเพิ่มความหนาแน่นของอสุจิ และระดับ testosterone
ตังเซียม

ตังเซียม มีสรรพคุณช่วยปรับการทํางานของกระเพาะอาหาร ช่วยบํารุงเลือด ขยายหลอดเลือด บรรเทาอาการเลือดไหลเวียนไม่สะดวก ดูแลความดันโลหิตทั้งยังช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว แพทย์แผนจีนมักใช้ตังเซียมรักษาอาการประจำเดือนขาดสมดุล ปวดประจำเดือน ไม่มีประจำเดือน ประจำเดือนมามาก และปวดท้องหลังคลอด
ตังเซียมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโสมแดง มีรสขม ฤทธิ์ค่อนข้างเย็น ใช้บำรุงหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจและตับ ตังเซียมมีสรรพคุณบรรเทาอาการเลือดคั่ง กระตุ้นเลือด บำรุงเลือดและระบบประสาท จึงดีต่อผู้หญิงที่ประจำเดือนขาดสมดุล ทั้งนี้ยังช่วยบรรเทาอาการร้อนรุ่ม จิตใจหดหู่ ใจสั่น นอนไม่หลับอีกด้วย
ตังกุย

ในตำรับยาสมุนไพรจีน ตังกุย เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดี และนิยมใช้กันอย่างมาก เช่นเดียวกับโสม
ถั่งเฉ้า และเห็ดหลินจือ ตามสรรพคุณตังกุยจะได้มาจากส่วนรากของพืชวงศ์ Umbelliferae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abgelica sinensis (Oliv) Diels เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม รสหวานออกขมเล็กน้อย จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่มีรสอุ่นกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงโลหิต ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และแก้ปวด โดยความนิยมแล้วถือว่า ตังกุย เป็นสมุนไพรที่ทรงคุณค่าสำหรับสตรี เนื่องจากมีสรรพคุณ ในการช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ แก้ปวดประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและเป็นยาระบายท้องอ่อนๆ ด้วย
“ตังกุย” เป็นยาสำหรับสตรีเท่านั้นหรือ ผู้ชายรับประทานได้หรือไม่
ถ้าดูจากสรรพคุณดั้งเดิม ที่ว่าตังกุยเป็นยาที่ใช้สำหรับ บำรุงร่างกายทั่วๆ ไป และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ก็น่าจะใช้ได้ดีทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะการมุ่งหวังผล เพื่อเป็นยาบำรุงร่างกาย เพราะในรากตังกุยจะมีวิตามินบี 12 ในปริมาณที่มาก (0.25-0.4 ไมโครกรัม/100 กรัมของน้ำหนักรากแห้ง) ยังมีสารโฟลิก (Folic) และไบโอติน (Biotin) ซึ่งมีผลต่อการสร้างปริมาณเม็ดเลือด ในร่างกาย จึงนิยมใช้เป็นยาบำรุงโลหิต
ผลต้านการอักเสบและลดการบวม โดยการทดสอบทางชีวเคมี ถึงขบวนการเกิดการอักเสบ พบว่า สารจากตังกุยสามารถขัดขวางการเกิด 5-hydroxytryptamine (5-HT) และลดการส่งผ่านของสารทางผนังเซลล์หัวใจ (coronary flow) และกระแสโลหิตที่ร่างกาย peripheral blood flow ได้โดยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว (dilate vessel) มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ให้ความดันล่างสูงขึ้น
นอกจากรายงานทีกล่าวมาแล้ว ยังมีรายงานการวิจัย ถึงสรรพคุณของตังกุยอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น
เป็นสารต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด
+ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง เช่น แก้อาการคัน
+ใช้เป็นยาแก้หืด
+ใช้เป็นยาแก้ปวด
+ใช้ลดไขมันในโลหิต โดยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล (cholesterol) เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด , ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
ปัจจุบัน วงการแพทย์ตะวันตกต่างหันมาสนใจ ให้ความสนใจต่อสมุนไพรมากขึ้น และยังคงมีการวิจัยศึกษา หาคุณประโยชน์ของสมุนไพรกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพื่อค้นหาความลับในการรักษาและบำบัดโรคภัยต่างๆ รวมทั้งเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพดียิ่งขึ้น

"ไม่ใช่โสมแต่ดีกว่าโสม” เป็นพืชจําพวกเถา ถิ่นกําเนิดในทวีปเอเชีย
ด้วยคุณประโยชน์มากมายที่มีต่อการบํารุงสุขภาพและรักษาอาการป่วย ชาวจีนจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซี-ยัน-เช่า ซึ่ง หมายความว่า เป็นสมุนไพรแห่งชีวิตอมตะ สารสําคัญที่พบเป็นพวกซาโพนิน (Saponin) ประเภทเดียวกับในโสม (Ginsenoside) แต่มีชนิดที่ดีและมากกว่าโสมถึง 4 เท่า นอกจากนี้การบริโภคเจียวกู้หลานไม่มีอาการแพ้เหมือนบริโภคโสม